วิกฤตอุทกภัย พ.ศ. 2523 มหาวิทยาลัยรามคำแหง

เมื่อบ่ายวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2523 มหาวิทยาลัยรามคำแหงและพื้นที่ใกล้เคียงต้องเผชิญกับอุทกภัยครั้งรุนแรงจากอิทธิพลของพายุดีเปรสชันและฝนที่ตกหนักต่อเนื่อง น้ำจากคลองแสนแสบเอ่อล้นเข้าท่วมพื้นที่มหาวิทยาลัยอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในช่วงกลางดึกของคืนเดียวกัน น้ำได้หลากมาจากคลองกะจะเพิ่มเติม ทำให้พื้นที่มหาวิทยาลัย สถานีตำรวจนครบาลหัวหมาก และการกีฬาแห่งประเทศไทย กลายเป็นแอ่งรับน้ำขนาดใหญ่ ระดับน้ำท่วมสูงเฉลี่ย 1-1.5 เมตร

การรับมือและมาตรการป้องกัน

ก่อนเกิดเหตุการณ์น้ำท่วม หน่วยงานของมหาวิทยาลัยโดยเฉพาะ สวป. ได้เตรียมการป้องกันล่วงหน้าสำหรับอาคารห้องคอมพิวเตอร์ โดยมีการก่ออิฐบล็อกสูง 50 ซม. ล้อมรอบอาคาร และยกพื้นภายในห้องคอมพิวเตอร์ขึ้น 40 ซม. รวมถึงสร้างทำนบสูง 1.25 เมตร บริเวณด้านหลังอาคารซึ่งเป็นที่ตั้งของเครื่องแปลงไฟฟ้าและเครื่องทำความเย็น พร้อมเสริมแนวป้องกันด้วยกระสอบทรายรอบอาคาร

ทว่า ในช่วงเที่ยงของวันที่ 1 ตุลาคม น้ำได้ผุดขึ้นตามรอยต่อของซีเมนต์ใต้พื้นและกำแพงอาคาร เจ้าหน้าที่ไม่สามารถเข้าไปในห้องคอมพิวเตอร์ได้เนื่องจากมีกระแสไฟแรงสูงเชื่อมต่ออยู่ จึงดำเนินการอุดรอยรั่วจากภายนอก บริษัทรับเหมาก่อสร้างได้ระดมกำลังเจ้าหน้าที่กว่า 10 นาย พร้อมรถตักดินมาช่วยเสริมแนวป้องกัน และเจ้าหน้าที่กองบริการฯ ได้นำกระสอบทรายมาเสริมให้สูงขึ้น นอกจากนี้ ยังพยายามสูบน้ำที่ทะลักเข้ามาอย่างต่อเนื่อง แต่สถานการณ์ไม่ดีขึ้น จึงตัดสินใจลำเลียงม้วนเทปข้อมูลนักศึกษาขึ้นไปเก็บไว้บนชั้น 2 ของอาคาร สวป. และส่วนอื่นๆ ที่สูงในอาคารนั้น

เวลาประมาณ 01.00 น. ของคืนเดียวกัน น้ำได้ท่วมผ่านแนวป้องกันทั้งหมด ประตูอาคาร สวป. เก่าด้านอาคาร HB พังลงเนื่องจากต้านทานแรงดันน้ำไม่ไหว น้ำไหลเข้าท่วมภายในอาคารอย่างรวดเร็ว เจ้าหน้าที่ทำได้เพียงลำเลียงเทปข้อมูลนักศึกษาขึ้นที่สูงเท่านั้น

เช้าวันที่ 2 ตุลาคม เจ้าหน้าที่พยายามป้องกันเครื่องคอมพิวเตอร์โดยใช้กระสอบทรายกั้นเพิ่ม และใช้เครื่องสูบน้ำ 5 เครื่อง สูบน้ำออกเพื่อรักษาระดับน้ำไม่ให้ท่วมถึงตัวเครื่องคอมพิวเตอร์ เจ้าหน้าที่ประจำเครื่องคอมพิวเตอร์ได้ยกเครื่องที่สามารถยกได้ให้สูงขึ้นอีก 75 ซม. ส่วนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่ถอดได้และม้วนเทปข้อมูลถูกลำเลียงใส่เรือเช่าไปเก็บยังชั้น 2 ของอาคาร สวป. การสูบน้ำออกจากอาคารต้องทำอย่างระมัดระวังโดยรักษาระดับน้ำให้หล่อเลี้ยงตัวอาคารไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้แรงดันน้ำจากภายนอกทำให้ผนังอาคารถล่ม บริษัทซี.ดี.ซี. ซึ่งเป็นผู้ให้เช่าเครื่องคอมพิวเตอร์และรับผิดชอบความเสียหายตามสัญญาเช่า ได้ให้ความเห็นว่าการขนย้ายเครื่องคอมพิวเตอร์อาจก่อให้เกิดความเสียหายมากกว่าเดิม และมาตรการที่มหาวิทยาลัยดำเนินการอยู่นั้นเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว

ความช่วยเหลือจากภาครัฐและภาคส่วนต่างๆ

  • วันที่ 2 ตุลาคม: มหาวิทยาลัยเร่งก่อสร้างสะพานชั่วคราวบริเวณด้านหน้ามหาวิทยาลัยเชื่อมจากสำนักงานอธิการบดีถึงสะพานลอยข้ามถนนรามคำแหง ซึ่งแล้วเสร็จภายใน 24 ชั่วโมง กองทัพเรือได้ส่งเรือเหล็กท้องแบน 2 ลำ เรือยาง 1 ลำ และเรือช่วยชีวิตในทะเล 2 ลำ เข้าร่วมปฏิบัติงานสนับสนุน

  • วันที่ 3 ตุลาคม: กรุงเทพมหานคร (เขตบางกะปิ) ให้ความช่วยเหลือโดยจัดส่งกระสอบทราย 2,000 กระสอบ พร้อมบริการรถขยะ รถสุขาเคลื่อนที่ บริการน้ำสำหรับอุปโภคบริโภค และเรืออีก 3 ลำ มหาวิทยาลัยจัดสรรเรือที่มีอยู่ 11 ลำ ให้แก่คณะและสำนักต่างๆ ตามความจำเป็น และเก็บส่วนหนึ่งไว้ที่ศูนย์ปฏิบัติงานส่วนกลางเพื่อใช้ในการตรวจการณ์ ตรวจสอบ และขนย้ายสัมภาระ กำลังทหารจากกองทัพบกและกองทัพเรือเริ่มเข้าปฏิบัติงานอย่างเต็มรูปแบบ
  • วันที่ 4 ตุลาคม: กองทัพบกส่งกระสอบทรายเพิ่มเติม 17,000 กระสอบ พร้อมกำลังทหารจากกองพล ปตอ. ม.พัน 14 และนาวิกโยธิน จำนวน 80 นายต่อวัน เพื่อลำเลียงทรายและกระสอบทรายสำหรับสร้างทำนบกั้นอาคาร สวป. (ห้องคอมพิวเตอร์) อาคาร NB14 (คลังตำรา) และอาคารหอสมุดกลาง กองทัพเรือส่งเรือเหล็ก 4 ลำพร้อมพลประจำเรือเข้าสนับสนุน ขณะที่กองบรรเทาสาธารณภัย กรมตำรวจ ส่งเรือ 3 ลำและเครื่องสูบน้ำ 3 เครื่อง เพื่อป้องกันน้ำท่วมฝ่ายคอมพิวเตอร์
  • วันที่ 5 ตุลาคม: กำลังทหารร่วมกันเก็บกู้โต๊ะและเก้าอี้จากอาคารเรียน NB1, 2, 3 และร่วมกับพนักงานโรงพิมพ์สร้างแนวป้องกันน้ำเข้าอาคาร NB13 ซึ่งเป็นที่เก็บกระดาษและวัสดุการพิมพ์ พร้อมซ่อมแซมและอุดรูรั่วเพื่อสูบน้ำออก และยกกระดาษในโรงพิมพ์ให้สูงขึ้นกว่าระดับน้ำ นอกจากนี้ ยังแบ่งกำลังส่วนหนึ่งไปสูบน้ำออกจากห้องใต้ดินของอาคารหอสมุดกลาง

การฟื้นฟูและผลกระทบต่อเนื่อง
  • วันที่ 6-12 ตุลาคม: กองทัพบกและกองทัพเรือยังคงให้กำลังทหารสนับสนุนการขนย้ายกระสอบทราย สร้างกำแพงทรายป้องกันอาคารต่างๆ ขนย้ายเก้าอี้และตำราที่ได้รับผลกระทบ รวมถึงการสูบน้ำออกจากพื้นที่สำคัญอย่างต่อเนื่อง
  • วันที่ 13 ตุลาคม: มหาวิทยาลัยมีคำสั่งให้ข้าราชการกลับเข้าปฏิบัติงานเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วม โดยอาจารย์ ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ประมาณ 1,000 คน กลับมารายงานตัว ณ อาคารศรีสัชนาลัยและสำนักงานอธิการบดี และจัดให้มีการผลัดเปลี่ยนกำลังปฏิบัติหน้าที่ตามปกติในช่วงที่มหาวิทยาลัยปิดทำการเป็นระยะที่ 2 (13-30 ตุลาคม) มหาวิทยาลัยงดขอความช่วยเหลือจากกองทัพเรือเป็นการชั่วคราว แต่กองทัพเรือยังคงมีเรือและเจ้าหน้าที่ประจำเรือ 35 นาย ประจำอยู่ที่มหาวิทยาลัยตลอดเวลา และมีกำลังทหารจากกองทัพบก 30 นาย สร้างกำแพงทรายบริเวณถนนหน้ามหาวิทยาลัยและอาคาร สวป. มหาวิทยาลัยได้มีหนังสือถึงการไฟฟ้าเพื่อขอให้พิจารณาต่อกระแสไฟฟ้าไปยังอาคาร สวป. ชั่วคราว เพื่อรักษาเทปข้อมูลนักศึกษาที่จัดเก็บอยู่ที่อาคารดังกล่าว ซึ่งจำเป็นต้องควบคุมอุณหภูมิ เพื่อป้องกันความเสียหายจากความชื้นหรือความร้อน รวมถึงต่อกระแสไฟฟ้าไปยังอาคารศรีสัชนาลัยเพื่ออำนวยความสะดวกในการปฏิบัติงานของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ที่มาใช้พื้นที่เป็นที่ทำการชั่วคราว
  • วันที่ 14-15 ตุลาคม: มหาวิทยาลัยจัดซื้อทราย 20,000 กระสอบ ไม้อัดและอุปกรณ์ซ่อมแซมเก้าอี้ กำลังทหารและเจ้าหน้าที่ช่วยกันซ่อมแซมเก้าอี้และขนย้ายตำรา ตลอดจนขนย้ายม้วนเทปคอมพิวเตอร์กว่า 12,000 ม้วนจากชั้น 2 ไปยังชั้น 4 ในห้องปรับอากาศ เพื่อป้องกันการเสื่อมคุณภาพ พลโทชำนาญ นิลวิเศษ รองเสนาธิการทหารบกและคณะ ได้เดินทางมาตรวจเยี่ยมมหาวิทยาลัย เพื่อทำความเข้าใจถึงสถานการณ์น้ำท่วมและความเสียหายที่มหาวิทยาลัยได้รับ
  • วันที่ 16-31 ตุลาคม: การขนย้ายตำรา ซ่อมแซมเก้าอี้ เคลียร์พื้นที่ทางน้ำ และสร้างกำแพงทรายป้องกันอาคารต่างๆ ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง โดยมีกำลังทหารจากกองทัพบกและนักศึกษาจาก อศมร. ร่วมสนับสนุนอย่างสม่ำเสมอ มหาวิทยาลัยจัดอาหารสำหรับผู้ที่มาให้ความช่วยเหลือและผู้ที่ได้รับมอบหมายภารกิจซ่อมเก้าอี้ ในวันที่ 31 ตุลาคม ระดับน้ำหน้าสำนักงานอธิการบดีลดลงเหลือ 74 ซม. กรมชลประทานส่งรถนาค 2 คัน มาติดตั้งบริเวณจุดสูบน้ำทั้งสองด้านของมหาวิทยาลัย เพื่อเร่งระบายน้ำออกสู่คลองแสนแสบและคลองกะจะ และในวันเดียวกันนี้ มหาวิทยาลัยมีคำสั่งให้บุคลากรทุกคนกลับมาปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ หลังจากปิดทำการเป็นระยะเวลา 1 เดือนเต็ม

  • วันที่ 1-10 พฤศจิกายน: กำลังทหารจากกองทัพบกและเจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัยยังคงเร่งขนทรายเสริมแนวคันกั้นน้ำ ซ่อมแซมหนังสือ จัดเรียงตำรา และทำความสะอาดพื้นที่ต่างๆ รอบมหาวิทยาลัย ระดับน้ำลดลงอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งวันที่ 5 พฤศจิกายน ระดับน้ำหน้าสำนักงานอธิการบดีแห้งสนิท เหลือเพียงน้ำท่วมขังในบางพื้นที่ มหาวิทยาลัยได้มีหนังสือขอบคุณและส่งคืนเรือแก่กองทัพเรือ และขอบคุณโรงเรียนเตรียมทหารที่ดูแลรถของมหาวิทยาลัย นอกจากนี้ สถานีตำรวจดับเพลิงหัวหมาก และองค์การส่งเสริมกีฬาแห่งประเทศไทย (อสกท.) ยังได้ส่งเจ้าหน้าที่และเครื่องมือมาช่วยทำความสะอาดและสูบน้ำออกจากพื้นที่อย่างต่อเนื่อง
  • วันที่ 11-14 พฤศจิกายน: กำลังทหาร ปตอ. กองทัพบก 100-150 นาย รถ GMC 10 คัน ช่วยขนกระสอบทรายจากจุดต่างๆ ไปทำเขื่อนกั้นน้ำบริเวณสระน้ำใหญ่ซึ่งเป็นสระเก็บน้ำเสีย และขนกระสอบทรายของกองทัพบกคืน รวมทั้งช่วยรื้อสะพานไม้ชั่วคราวด้านหน้าประตูเข้า-ออก สถานีตำรวจดับเพลิงหัวหมาก ส่งจนท.ฉีดน้ำรอบบริเวณมหาวิทยาลัย และในวันที่ 14 พ.ย. มหาวิทยาลัยได้จัดพิธีมอบโล่ห์ขอบคุณแก่ กองทัพบก กองทัพเรือ กองพล ปตอ. และ ม.พัน 4 เวลา 16.00 น.
การฟื้นฟูหลังน้ำลด

มหาวิทยาลัยรามคำแหงได้กำหนดช่วงวันที่ 15-20 พฤศจิกายน เป็นช่วงเวลาของการพัฒนาและฟื้นฟูพื้นที่หลังน้ำลด โดยเชิญชวนบุคลากรและนักศึกษาเข้ามามีส่วนร่วมในการทำความสะอาด ซ่อมแซมเก้าอี้ จัดระเบียบโต๊ะสนาม รื้อถอนสิ่งกีดขวาง พัฒนาสนามกีฬา ปลูกต้นไม้ และปรับปรุงระบบสาธารณูปโภคต่างๆ ในแต่ละวันมีนักศึกษาให้ความช่วยเหลือไม่ต่ำกว่า 500 คน

การดำเนินงานทั้งหมดนี้มีเป้าหมายเพื่อฟื้นฟูมหาวิทยาลัยให้กลับสู่สภาพปกติโดยเร็วที่สุด เพื่อให้ทันต่อการเปิดการบรรยายในวันที่ 26 พฤศจิกายน ถึง 2 ธันวาคม และการสอบไล่ภาค 1/2523 ของโรงเรียนสาธิตที่เลื่อนจากวันที่ 5-14 พฤศจิกายน ไปเป็นวันที่ 26 พฤศจิกายน ถึง 5 ธันวาคม นอกจากนี้ ยังต้องเตรียมความพร้อมสำหรับการสอบไล่ภาค 1/2523 ของนักศึกษามหาวิทยาลัยราว 270,000 คน ซึ่งเลื่อนสอบจากวันที่ 16 ตุลาคม - 7 พฤศจิกายน ไปเป็นวันที่ 6-28 ธันวาคม

 

เรียบเรียงโดย เวธกา บุณยะฤทธิ์*

* บรรณารักษ์ปฏิบัติการ สำนักหอสมุดกลาง มหาวิทยาลัยรามคำแหง (2568, มิถุนายน 20)